ปรัชญา แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๔๖
พัฒนาขึ้นมาโดยอาศัยแนวคิดต่อไปนี้
๑. แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก
พัฒนาการของมนุษย์เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวมนุษย์
เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิต่อเนื่องไปจนตลอดชีวิต
ซึ่งครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงใน เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พัฒนาการทางด้านร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา
จะมีความสัมพันธ์และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับขั้นตอนไปพร้อมกันทุกด้าน เด็กแต่ละคนจะ เติบโตและมีลักษณะพัฒนาการแตกต่างกันไปตามวัย
โดยที่พัฒนาการเด็กปฐมวัยบ่งบอกถึง
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวเด็กอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัย
เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงอายุ ๕ ปี
พัฒนาการแต่ละด้านมีทฤษฎีเฉพาะอธิบายไว้และสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาเด็ก อาทิ
ทฤษฎีพัฒนาการทางร่างกายที่อธิบายการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กว่ามีลักษณะต่อเนื่องเป็นลำดับขั้น
เด็กจะพัฒนาถึงขั้นใดจะต้องเกิดวุฒิภาวะของความสามารถขั้นนั้นก่อน หรือ
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาที่อธิบายว่าเด็กเกิดมาพร้อมวุฒิภาวะ ซึ่งจะพัฒนาขึ้นตามอายุ ประสบการณ์ ค่านิยมทางสังคม และสิ่งแวดล้อม
หรือทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพ
ที่อธิบายว่าเด็กจะพัฒนาได้ดีถ้าในแต่ละช่วงอายุเด็กได้รับการตอบสนองในสิ่งที่ตนพอใจ ได้รับความรัก
ความอบอุ่นอย่างเพียงพอจากผู้ใกล้ชิด มีโอกาสช่วยตนเอง
ทำงานที่เหมาะสมกับวัยและมีอิสระที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ตนอยากรู้รอบ ๆ
ตนเอง
ดังนั้น
แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก
จึงเป็นเสมือนหนึ่งแนวทางให้ผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าใจเด็ก สามารถอบรมเลี้ยงดูและจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับวัยและความแตกต่างของแต่ละบุคคล
ในอันที่จะส่งเสริมให้เด็กพัฒนาจนบรรลุผลตามเป้าหมายที่ต้องการได้ชัดเจนขึ้น
๒. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้
การเรียนรู้ของมนุษย์เรามีผลสืบเนื่องมาจากประสบการณ์ต่างๆที่ได้รับ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกิดขึ้นจากกระบวนการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
โดยผู้เรียนจะต้องเป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้นด้วยตนเอง
และการเรียนรู้จะเป็นไปได้ดี
ถ้าผู้เรียนได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้เคลื่อนไหว
มีโอกาส
คิดริเริ่มตามความต้องการและความสนใจของตนเอง รวมทั้งอยู่ในบรรยากาศที่เป็นอิสระ อบอุ่นและปลอดภัย ดังนั้น
การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก และเนื่องจากการเรียนรู้นั้นเป็นพื้นฐานของพัฒนาการในระดับที่สูงขึ้น ทั้งคนเราเรียนรู้มาตั้งแต่เกิดตามธรรมชาติก่อนที่จะมาเข้าสถานศึกษา
การจัดทำหลักสูตรจึงยึดแนวคิดที่จะให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงด้วยตัวเด็กเอง
ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสระ เอื้อต่อการเรียนรู้
และจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของผู้เรียนแต่ละคน
๓. แนวคิดเกี่ยวกับการเล่นของเด็ก
การเล่นถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญในชีวิตเด็กทุกคน เด็กจะรู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้สังเกต มีโอกาสทำการทดลอง สร้างสรรค์
คิดแก้ปัญหาและค้นพบด้วยตนเอง
การเล่นจะมีอิทธิพลและมีผลดีต่อการเจริญเติบโต ช่วยพัฒนาร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
และสติปัญญา จากการเล่นเด็กมีโอกาสเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย
ได้ใช้ประสาทสัมผัสและการรับรู้ ผ่อนคลายอารมณ์ และ แสดงออกถึงตนเอง
เรียนรู้ความรู้สึกของผู้อื่น
การเล่นจึงเป็นทางที่เด็กจะสร้างประสบการณ์เรียนรู้สิ่งแวดล้อม เรียนรู้ความเป็นอยู่ของผู้อื่น
สร้างความสัมพันธ์อยู่ร่วมกับผู้อื่น กับธรรมชาติรอบตัว ดังนั้น หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี้จึงถือ “การเล่น”อย่างมีจุดมุ่งหมาย
เป็นหัวใจสำคัญของการจัดประสบการณ์ให้กับเด็ก
๔. แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคม บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่หรือแวดล้อมตัวเด็ก ทำให้เด็กแต่ละคนแตกต่างกันไป
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี้ถือว่าผู้สอนจำเป็นต้องเข้าใจและยอมรับว่าวัฒนธรรมและสังคมที่แวดล้อมตัวเด็กมีอิทธิพลต่อ
การเรียนรู้ การพัฒนาศักยภาพ และพัฒนาการของเด็กแต่ละคน
ผู้สอนควรต้องเรียนรู้บริบททางสังคมและวัฒนธรรมของเด็กที่ตนรับผิดชอบ
เพื่อช่วยให้เด็กได้พัฒนา
เกิดการเรียนรู้
และอยู่ในกลุ่มคนที่มาจากพื้นฐานเหมือนหรือต่างจากตนได้อย่างราบรื่น
มีความสุข
สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ผนวกกับแนวคิด ๔
ประการดังกล่าวข้างต้น ทำให้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดปรัชญาการศึกษาให้ สถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยได้ทราบถึงแนวคิด
หลักการพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุ ๓-๕ ปี
ทั้งนี้ผู้รับผิดชอบจะต้องดำเนินการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยของตนและนำสู่การปฏิบัติให้เด็กปฐมวัยมีมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่กำหนดในจุดหมายของหลักสูตร
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๔๖ ได้กำหนดปรัชญาการศึกษาปฐมวัยไว้ดังนี้
ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง
๕ ปี บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการของ เด็กแต่ละคน ตามศักยภาพ
ภายใต้บริบทสังคม-วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่
ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และ ความเข้าใจของทุกคน
เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
เกิดคุณค่าต่อตนเองและสังคม
หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย
การจัดทำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี้
ยึดหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย ดังนี้
๑. การสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม การพัฒนาหลักสูตรพิจารณาจากวัยและประสบการณ์ของเด็ก โดยเป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นการพัฒนาเด็กทุกด้าน
ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา
โดยอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์เดิมที่เด็กมีอยู่
และประสบการณ์ใหม่ที่เด็กจะได้รับต้องมีความหมายกับตัวเด็ก เป็นหลักสูตรที่ให้โอกาสทั้งเด็กปกติ
เด็กด้อยโอกาส และเด็กพิเศษได้พัฒนา รวมทั้งยอมรับในวัฒนธรรมและภาษาของเด็ก
พัฒนาเด็กให้รู้สึกเป็นสุขในปัจจุบัน
มิใช่เพียงเพื่อเตรียมเด็กสำหรับอนาคตข้างหน้าเท่านั้น
๒. การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้จะต้องอยู่ในสภาพที่สนองความต้องการ
ความสนใจของเด็กทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน
ผู้สอนจะต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้อยู่ในที่ที่สะอาด ปลอดภัย อากาศสดชื่น
ผ่อนคลาย ไม่เครียด มีโอกาสออกกำลังกายและพักผ่อน มีสื่อวัสดุอุปกรณ์ มีของเล่นที่หลากหลาย
เหมาะสมกับวัย
ให้เด็กมีโอกาสได้เลือกเล่น เรียนรู้เกี่ยวกับตนเองและโลกที่เด็กอยู่ รวมทั้งพัฒนาการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม
ดังนั้น สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกห้องเรียนจึงเป็นเสมือนหนึ่งสังคมที่มีคุณค่าสำหรับเด็กแต่ละคนจะเรียนรู้และสะท้อนให้เห็นว่าบุคคลในสังคมเห็นความสำคัญของการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษากับเด็กปฐมวัย
๓. การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ผู้สอนมีความสำคัญต่อการจัดกิจกรรมพัฒนาเด็กอย่างมาก ผู้สอนต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้บอกความรู้หรือสั่งให้เด็กทำมาเป็นผู้อำนวยความสะดวก ในการจัดสภาพแวดล้อมประสบการณ์และกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กที่ผู้สอนและเด็กมีส่วนที่จะริเริ่มทั้ง ๒ ฝ่าย
โดยผู้สอนจะเป็น ผู้สนับสนุน ชี้แนะ
และเรียนรู้ร่วมกับเด็ก ส่วนเด็กเป็นผู้ลงมือกระทำ เรียนรู้
และค้นพบด้วยตนเอง ดังนั้น ผู้สอนจะต้องยอมรับ เห็นคุณค่า รู้จักและเข้าใจเด็กแต่ละคนที่ตนดูแลรับผิดชอบก่อน เพื่อจะได้วางแผน สร้างสภาพแวดล้อม
และจัดกิจกรรมที่จะส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ผู้สอนต้องรู้จักพัฒนาตนเอง ปรับปรุงใช้เทคนิคการจัดกิจกรรมต่างๆให้เหมาะกับเด็ก
๔. การบูรณาการการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนในระดับปฐมวัยยึดหลักการ บูรณาการที่ว่า หนึ่งแนวคิดเด็กสามารถเรียนรู้ได้หลายกิจกรรม
หนึ่งกิจกรรมเด็กสามารถเรียนรู้ได้หลายทักษะและหลายประสบการณ์สำคัญ ดังนั้น
เป็นหน้าที่ของผู้สอนจะต้องวางแผนการจัดประสบการณ์ในแต่ละวันให้เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่นที่หลากหลายกิจกรรม
หลากหลายทักษะ หลากหลายประสบการณ์สำคัญ อย่างเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ
เพื่อให้บรรลุจุดหมายของหลักสูตรแกนกลางที่กำหนดไว้
๕. การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก การประเมินเด็กระดับปฐมวัยยึดวิธี การสังเกตเป็นส่วนใหญ่ ผู้สอนจะต้องสังเกตและประเมินทั้งการสอนของตนและพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กว่าได้บรรลุตามจุดประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่
ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการ จากข้อมูลเชิงบรรยาย จากการรวบรวมผลงาน
การแสดงออกในสภาพที่เป็นจริง ข้อมูลจากครอบครัวของเด็ก ตลอดจนการที่เด็กประเมินตนเองหรือผลงาน
สามารถบอกได้ว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหน้าเพียงใด
ข้อมูลจากการประเมินพัฒนาการจะช่วยผู้สอนในการ วางแผนการจัดกิจกรรม ชี้ให้เห็นความต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคน
ใช้เป็นข้อมูลในการสื่อสารกับพ่อแม่ ผู้ปกครองเด็ก และขณะเดียวกันยังใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการจัดการศึกษาให้กับเด็กในวัยนี้ได้อีกด้วย
๖. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับครอบครัวของเด็ก
เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้
เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เด็กเจริญเติบโตขึ้นมา
ผู้สอน พ่อแม่ และผู้ปกครองของเด็กจะต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ทำความเข้าใจพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ต้องยอมรับและร่วมมือกันรับผิดชอบ หรือถือเป็นหุ้นส่วนที่จะต้องช่วยกันพัฒนาเด็กให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการร่วมกัน ดังนั้น
ผู้สอนจึงมิใช่จะแลกเปลี่ยนความรู้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองเกี่ยวกับการพัฒนาเด็ก เท่านั้น
แต่จะต้องให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง มีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วย ทั้งนี้
มิได้หมายความให้ พ่อแม่
ผู้ปกครองเป็นผู้กำหนดเนื้อหาหลักสูตรตามความต้องการ
โดยไม่คำนึงถึงหลักการจัดที่เหมาะสมกับวัยเด็ก
ทฤษฎีหลักสูตร
ทฤษฎีหลักสูตรมีความสัมพันธ์กันอย่างมากกับปรัชญาการศึกษา
ในขณะที่หลักสูตรเป็นแนวทางของสถานศึกษาที่ใช้ในการจัดมวลประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน
โดยมีหลักคิดหรือเลือกมวลประสบการณ์
โดยหลักคิดนั้นมาจากความเชื่อที่มีต่อเป้าหมายและปัจจัย
ตลอดจนแนวทางการจัดการศึกษาที่ได้จากปรัชญาทางการศึกษา ที่นำไปสู่การกำหนดองค์ประกอบของหลักสูตรที่สอดคล้องกัน
เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการศึกษาตามแนวทางที่กำหนดไว้ในหลักสูตรที่ได้พัฒนาและกลั่นกรองมาอย่างเป็นระบบ ส่วนทฤษฎีหลักสูตรนั้น
หมายถึงแนวคิดของการกำหนดองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร อันได้แก่ จุดหมาย
สาระของหลักสูตร บทบาทครูในฐานะผู้ใช้หลักสูตร แนวทางการจัดประสบการณ์
และเกณฑ์การประเมินคุณภาพของการจัดประสบการณ์
ทั้งนี้ทฤษฎีหลักสูตรแต่ละทฤษฎีจึงมีความแตกต่างกัน ตามความเชื่อของทฤษฎีนั้นๆ
สำหรับทฤษฎีหลักสูตรนั้น
ไอส์เนอร์ (Eisner.
1985, อ้างถึงใน ประพนธ์ เจียรกุล.2540 : 80-85) ได้จำแนกออกดังนี้
1. หลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางสติปัญญา
(development of cognitive process) เป็นทฤษฎีหลักสูตรที่เน้นทักษะกระบวนการทางปัญญา
ได้แก่ ทักษะการแสดงหาความรู้และทักษะการแก้ปัญหา ลักษณะของหลักสูตรตามทฤษฎีนี้คือ
1.1 กำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนจากสถานการณ์ที่เป็นปัญหา
เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะกระบวนการแก้ปัญหา
1.2 มีกระบวนการจัดประสบการณ์โดยครูเป็นผู้จัดสถานการณ์และสภาพแวดล้อมให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหา
2.
หลักสูตรเพื่อพัฒนาสติปัญญา (academic rationalism) เป็นทฤษฎีหลักสูตรที่เน้นให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทางสติปัญญาจากการเรียนวิชาความรู้ต่างๆ
ลักษณะหลักสูตรตามทฤษฎีนี้คือ
2.1 กำหนดให้ผู้เรียน
เรียนในรายวิชาที่เป็นวิชาการ เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา
ประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเจริญงอกงามและพัฒนาทางสติปัญญา
2.2 การเรียนในระดับประถมและมัธยมศึกษา
เป็นการเรียนเพื่อหาความรู้ด้านวิชาการ
เพื่อให้เด็กได้สำรวจความถนัดและความสนใจเพื่อการเรียนวิชาชีพต่อมาในภายหลัง
3.
หลักสูตรเพื่อเตรียมชีวิตในอนาคต (social
adaptation) เป็นทฤษฎีที่มีความเชื่อว่าหน้าที่ของสถานศึกษาคือการถ่ายทอดค่านิยม
วัฒนธรรมของสังคมให้เด็ก เพื่อให้เด็กเติบโตไปอยู่ในสังคม
โดยเป็นสมาชิกที่ดีและมีคุณภาพในอนาคต ลักษณะของหลักสูตรตามทฤษฎีนี้คือ
3.1
ความรู้ที่กำหนดให้ผู้เรียนได้เรียน ได้แก่
ความรู้ที่เป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในฐานะพลเมืองที่มีคุณภาพ
3.2
การเรียนสาระการเรียนรู้ยังคงวิชาที่เป็นวิชาแกนควบคู่กับวิชาทักษะพื้นฐานและวิชาเลือกอื่นๆ
ส่วนการเลือกสิ่งที่นำมาเรียนจะต้องเลือกสิ่งที่สำคัญและจำเป็นโดยพิจารณาจากความต้องการของเด็กและความต้องการของสังคม
4. หลักสูตรเพื่อการปฏิรูปสังคม (social reconstruction) หลักสูตรตามทฤษฎีนี้ มีความเชื่อว่าสถานศึกษาเป็นแหล่งสร้างสรรค์
บุคคลเพื่อเป็นผู้นำในการปฏิรูปสังคม โดยกำหนดลักษณะของหลักสูตรเป็น 2 แนวทาง คือ 4.1 การจัดประสบการณ์แบบสังคมอุดมคติ
โดยจัดให้เด็กได้เรียนและใช้ชีวิตในสถานศึกษาในสังคมอุดมคติ
ซึ่งมีลักษณะต่างจากสังคมภายนอกอย่างสิ้นเชิง
โดยเชื่อว่าเมื่อจบการศึกษาออกไปนักเรียนเหล่านี้จะเป็นผู้นำทางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ให้เป็นลักษณะสังคมอุดมคติ ในสถานศึกษาขึ้นมาได้
4.2
การจัดประสบการณ์ที่นำปัญหาสังคมมาสู่การเรียนการสอนที่เน้นการแก้ปัญหานั้นๆ
ทั้งนี้
เพื่อให้นักเรียนที่จบการศึกษาเป็นพลเมืองที่มีพลังในการแก้ไขปัญหาสังคมที่เผชิญอยู่
วิธีการจัดประสบการณ์ได้แก่ การจัดกิจกรรมให้เด็กมองเห็น
ปัญหาและหาทางแก้ปัญหานั้นๆ
โดยคาดหวังว่าผู้เรียนจะมีจิตสำนึกในการรวมกลุ่มกันเพื่อแก้ปัญหาสังคมนั้นๆ
5. หลักสูตรเพื่อสนองความเป็นปัจเจกบุคคล (personal relevance) ทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่าผู้เรียนแต่ละคนเป็นปัจเจกบุคคล
จึงมีเสรีภาพในการเลือกสิ่งที่จะเรียน หลักสูตรจึงไม่ใช่สิ่งที่กำหนดมาจากส่วนกลาง
ลักษณะของหลักสูตรตามทฤษฎีนี้คือ
5.1 การจัดประสบการณ์ที่มีความหมายต่อเด็กแต่ละคน
5.2 หลักสูตรเกิดจากการการกำหนดร่วมกันระหว่างเด็กกับครูโดยมีการวางแผนร่วมกัน
ครูจะเป็นผู้ส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดทางเลือกต่างๆ ครูจึงเป็นผู้อำนวยความสะดวกมากกว่าการเป็นผู้กำหนดสิ่งที่ให้เด็กเรียน
5.3 ผู้เรียนจะได้รับอิสรภาพในการเรียนและมีเสรีภาพในการคิดและการกระทำในสิ่งที่ตนเลือกเรียน
จากทฤษฎีหลักสูตรทั้ง 5 ทฤษฎี
แสดงให้เห็นถึงลักษณะของความสอดคล้องกันในด้านความเชื่อของเป้าหมาย สาระการเรียนรู้และวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ผู้พัฒนาหลักสูตรจะนำไปเป็นหลักการในการดำเนินการต่อไป
แหล่งอ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น